เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ชีวิตเป็นไปตามวัย วัยของชีวิตนะ ถ้าวัยของเด็ก วัยของผู้ใหญ่ วัยของคนชราต่างกัน เป็นตามวัย วัยนี่ปิดบังไว้ ปิดบังความรู้สึกของเราไว้ ปิดบังความจริงไว้
ความจริง เห็นไหม ความจริงเป็นอริยสัจ ความจริงของเราเป็นความจริงสมมุติ สมมุติว่าเป็นความจริงอย่างนี้ เราก็เป็นความจริง เราว่าจริงอย่างที่เราคิดกัน ในความคิดของเราคิดได้ขนาดนี้ อันนี้มันเป็นความคิดของเรา แต่ความจริง สัจธรรม เห็นไหม ถ้าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
ถ้าเห็นธรรมความเป็นจริง สภาวธรรมความเป็นจริงมันจะเกิดความจริงอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นปัจจุบันธรรม อย่างที่เห็นสภาวะที่ว่าร่างกายมันแปรสภาพ มันจะเห็นจากภายใน ความเห็นจากภายในมันจะทำให้เราถอนทิฏฐิมานะ
ทิฏฐิมานะ ทิฏฐิความเห็นผิด ทิฏฐิความเห็นถูก มันเป็นทิฏฐิ ทิฏฐิมันเป็นกลางๆ แต่คนเห็นผิดเห็นถูกมันเป็นได้อีกอย่างหนึ่ง ถ้าทิฏฐิเห็นความถูกต้อง มันก็เป็นความถูกต้องไป แต่ขวางโลกไง โลกนี้ว่าขวางโลก เป็นผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงทางโลกเขา สมมุติเป็นแบบนั้น เราหย่อนของเรานะ หย่อนความเห็นของเราให้อยู่กับโลกเขาไปได้ สังคมว่าอย่างนั้น
สัตว์มนุษย์เป็นสัตว์สังคม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ แต่เวลาโง่นะ พระพุทธเจ้าว่า โง่กว่าสัตว์ สัตว์มันยังเป็นอิสรภาพ เห็นไหม อย่างนกกามันบินไปตามประสาของมัน มันมีอิสระของมัน มันเป็นไปธรรมชาติของมัน มันอยู่ของมัน แต่มนุษย์เราอยู่กันต้องมีกติกาของสังคม
ที่ว่าโง่โง่ตรงนี้ไง ต้องสร้างกติกาขึ้นมา ต้องให้มีกติกาขึ้นมา เราถึงจะอยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข เพราะความคิดของคนมันไม่มีขอบเขต
ความคิดของคน เห็นไหม ประชาธิปไตยมีสิทธิเสรีภาพ แต่ต้องไม่ล่วงเกินสิทธิเสรีภาพของคนอื่น แต่ความคิดของเรานี่มันจะล่วงเกินความคิดของคนอื่น เอาความสะดวกสบายของตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาความเห็นของตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วเบียดเบียนคนอื่นตลอดไป
ถึงต้องมีกฎหมายไง จะมีเสรีภาพขนาดไหนมันโดนจำกัดไว้ด้วยความเสรีภาพของคนอื่น มันจะจำกัดไป มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่ว่าโง่โง่ตรงนี้ไง โง่ที่ความเห็นของกิเลส ความคิดของมันมันคิดไป
แต่จริงๆ ของเราแล้ว มนุษย์เกิดมา ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยนี้เป็นความจำเป็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธเรื่องสิ่งนี้ แต่สิ่งอื่นนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธว่าสิ่งอื่นสิ่งที่เกินกว่านี้ไป มันเป็นเครื่องอยู่อาศัย มันเป็นความจริงอันหนึ่ง
ความจริงที่เกิดขึ้นอันหนึ่งอันนั้นมันเป็นความจริง ความจริงที่มันเกิดตามอำนาจวาสนาของแต่ละบุคคล สัตว์แต่ละดวงใจ การเกิดมานี่มีอำนาจวาสนานะ เกิดมาตามกระแสของกรรม กรรมนี้ทำให้เกิดทุกๆ ดวงใจ มันเป็นความมหัศจรรย์ที่ว่าเราไม่สามารถเห็นตรงว่าการเกิดและการตายได้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สงสัยนะ ก่อนที่ตรัสรู้นี่สงสัยนะ คนเกิดมามันต้องตายทั้งหมด เห็นสภาวะอันนั้น แล้วสิ่งที่ฝั่งตรงข้ามมันต้องมี ถึงออกแสวงหาสิ่งนี้ไง สุดท้ายแล้วเวลาปฏิบัติไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ มันสาวไง เวลาจิตมันสงบเข้ามา มันจะสาวหาเหตุของมันก่อน เหตุของมัน มันมีอยู่ไง เชื้อของมันนะ
ก่อนจะเข้าบ้านมันต้องรั้วบ้าน มีประตูบ้านเข้ามา จะเข้าประตูบ้านมันผ่านรั้วเข้ามาก่อน จะเข้าถึงตัวของจิต มันผ่านอาการของจิต ขันธ์ สัญญาที่มันความจำได้หมายรู้ เห็นไหม เราเกิดมาตั้งแต่เด็ก เราก็จำความได้ของเราตั้งแต่เด็ก เวลาเราตายไป ความจำอันนี้มันย่อยสลายไป จากขันธ์ ๕ มันเป็นสัญญาความจำได้หมายรู้ เข้าไปเป็นอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ มันซับเข้าไปอันนั้น
ขันธ์อย่างหยาบมันสลายตัวลง มันย่อยสลายไป จนไปอยู่ในขันธ์อันละเอียดนั้น เวลาจิตมันสงบเข้าไปมันต้องผ่านสิ่งนี้เข้าไป มันผ่านเข้าไปกระทบรั้วก่อน มันถึงออกรู้บุพเพนิวาสานุสติญาณ รู้อดีตชาติมาตลอดไม่มีวันที่สิ้นสุด ไม่มีต้นไม่มีปลาย การเกิดและการตายของจิตไม่มีต้นไม่มีปลาย มันไปตามกระแสของมัน ถึงที่สุดแล้วไปถึงสาวเท่าไหร่ก็ไม่จบ สาวเท่าไหร่ก็ไม่จบ
ถึงต้องหยุดไง หยุดเพราะว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด จิตนี้มันสาวไปอดีตชาติไปไม่มีที่สิ้นสุด แล้วเวลามันเกิดตายขึ้นไป จุตูปปาตญาณ มันเกิดตายเกิดตาย ใจนี้เกิดแล้วต้องตายไป แต่มันเกิดตาย มันมีอำนาจวาสนาของกรรม
กรรมนี่เป็นกลางๆ ทำความดีก็เป็นกรรมดี ทำความชั่วก็เป็นกรรมชั่ว กรรมชั่วและกรรมดีอันนี้มันมาตัดรอนไง เวลามันตัดรอนมันตัดรอนเราเป็นอย่างนี้ ตัดรอนเราให้เราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ตัดรอนเรา คนเราบางทีไม่ต้องทำอะไรเลย เขามีความประสบความสำเร็จไปตลอด ถึงแข่งอำนาจวาสนาไม่ได้
อำนาจวาสนานี่แข่งกันไม่ได้เพราะอะไร? เพราะมันเป็นของแต่เบื้องหลังไง มันเป็นอดีต สิ่งที่เป็นอดีตกาลมา เราสะสมมาต่างกัน คนเราสะสมมาดี คนสร้างมาดี คนสร้างมามันต้องเป็นไปตามธรรมชาติของมัน แต่ถ้าไม่ขวนขวายมันก็เป็นขนาดนั้น เป็นสิ่งที่ว่าถ้าเราเชื่อสิ่งนี้เกินไปจนเราไม่ทำอะไรเลย เรารอให้อำนาจวาสนามาสนองเราๆ
ไม่ใช่ตรงนั้น เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้มีความเพียรชอบ คนเราเกิดมาต้องมีความเพียร ต้องมีหน้าที่การงานทุกคน ถ้าคนมีหน้าที่การงานขึ้นมา เป็นคนขึ้นมา มันจะสร้างประโยชน์กับโลก สร้างประโยชน์กับเรา
ประโยชน์กับโลกเป็นประโยชน์สาธารณะ เห็นไหม เราทำประโยชน์ของเรา เราสร้างประโยชน์ของเราแล้วมีส่วนเกิน ส่วนเกินก็เป็นเรื่องของโลกเขา จุนเจือโลกเขานี่ส่วนเกิน เรามีอำนาจวาสนาขนาดไหนเราก็สร้างส่วนเกินไป ส่วนเกินอันนี้มันเป็นการสร้างบุญกุศลอีกชั้นหนึ่ง ชีวิตเราก็ไม่ทุกข์ยากจนเกินไป แต่เราก็มีส่วนสร้างสมเพื่อประโยชน์โลก อันนี้เป็นสร้างบารมีขึ้นมา
ถ้าบารมีมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ต้องเป็นพุทธวิสัย ต้องเป็นพุทธภูมิ การเป็นพุทธภูมิต้องสร้างบารมีขึ้นมา บารมี ๑๐ ทัศ สละทุกอย่าง เป็นพระเวสสันดรสละทั้งลูกสละทั้งเมีย สละเพื่อให้ถึงใจไง
เวลาสละออกขึ้นมา เวลาสละออก เห็นไหม คนเรารักมาก รักนางมัทรีมาก ออกไปหาผลไม้ในป่า แล้วให้ลูกชูชกไป ถ้ากลับมาต้องมีความเสียใจมาก เราจะคิดอย่างไรจะทำอย่างไรเพื่อให้นางมัทรีไม่เสียใจจนเกินไป
ถึงเวลากลับมาต้องเอ็ดก่อนเลยว่าทำไมไปเสียนาน? เพื่อจะไม่ให้ตัวเองมีความผิดไง จะได้เวลาบอกว่าลูกนี่ให้เขาไปแล้ว จะได้ไม่ต้องสลบไสลไป
นี่มันเป็นความรักความผูกพันมาก เรามีความสงวนรักษามาก แล้วสละสิ่งนั้นออกไป มันต้องสละสิ่งนั้นออกไปถึงที่สุด สละทานถึงที่สุด แล้วถึงจะสร้างสมบารมีอย่างนี้ขึ้นมา
ถึงเวลาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เห็นไหม ไปศึกษาเล่าเรียนกับใครก็ไม่มีใครรู้ ในเรื่องศาสนาไม่มีใครรู้ รู้ไม่ได้เพราะมันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์ของใจ มันเป็นอาการของใจ ใจนั้นจะเข้าไปทำลายกิเลสในหัวใจ มันจะทำลายสิ่งนั้น จะเอาเสือต้องเข้าถ้ำเสือ จะเอาเรื่องของใจต้องเข้าในหัวใจ
แต่การจะเข้าไปในหัวใจทำสัมมาสมาธิ เราก็ทำแสนยากแล้ว นี่ทำสมาธิขึ้นมา กว่าจิตมันสงบเข้ามา ย้อนกลับเข้ามา มันทำแสนยาก ไม่เข้าใจทำไม่ได้ แล้วจะกลับเข้าไปวิปัสสนาของใจ นี่งานละเอียดอ่อน ในหลักของศาสนานี้สอนเรื่องอย่างนี้
แต่ของเรามันไม่เป็นอย่างนั้น เวลาทำความสงบของใจขึ้นไป เห็นมีฤทธิ์มีเดช เห็นไหม ต้องมีฤทธิ์มีเดช ต้องมีแบบว่าทำกระแสของจิต เป็นเกจิอาจารย์ต่างๆ เพ่งของเพื่อให้มีคุณธรรมในสิ่งของนั้น
สิ่งของนั้นเป็นสิ่งของนั้น มันแก้กิเลสไม่ได้ แม้แต่ใจส่งออกมันก็เป็นการส่งออกแล้วชั้นหนึ่ง แล้วยังไปปลุกเสกสิ่งต่างๆ ออกมาให้เป็นของขลังขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่ส่งออก ต่างคนต่างส่งออก ต่างคนต่างไม่เข้าใจเรื่องของชีวิต ถ้าไม่เข้าใจเรื่องของชีวิตนะ เราเกิดมาจากไหน? แล้วเราจะตายไปไหน?
ศาสนาสอนตรงนี้ สอนตรงว่าเราเกิดมาเกิดมาจากจิตตัวนี้มันมีกรรม กรรมทำให้เราต้องเกิดมา ต้องเกิดแน่นอนถ้าเราไม่เกิดเป็นมนุษย์ เราต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นอินทร์ เกิดเป็นพรหม เพราะไปปิดกั้นสิ่งนี้ไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งที่ต้องไปตามกระแสของมัน
แล้วบุญกุศลอันนี้ อันที่ว่าถ้าเราทำบุญกุศลขึ้นมา เราจะเกิดดี เกิดมามีอำนาจวาสนา คบหมู่ดี เห็นไหม คบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคบดีที่สุด นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อยู่ เราก็คบธรรม เห็นไหม ศึกษาธรรม
การศึกษาต่างๆ นั้นศึกษาเป็นวิชาชีพ ศึกษาแล้วศึกษาไปเพื่อประกอบสัมมาอาชีวะ เพื่อสิ่งต่างๆ เพื่อพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่จริง แต่การศึกษาใจของตัวเองมันค้นคว้าเข้ามา ย้อนกลับเข้ามา ถึงว่าไม่เป็นความสงบแล้วส่งออก สิ่งที่ส่งออก เห็นไหม ส่งออกจากใจของเราส่งออกไปแล้วเป็นเรื่องของว่ามันต้องเสื่อมสภาพไปแน่นอน
การปลุกของขลัง เห็นไหม แต่ละรุ่นๆ บางรุ่นก็ขลัง บางรุ่นก็ไม่ขลัง เพราะอะไร? เพราะใจมันไม่คงที่หรอก ใจสงบไม่ได้ตลอดไปหรอก ใจมันเสื่อมได้เพราะสิ่งนี้เป็นจิตที่ส่งออก มันจะคงที่ไปไม่ได้ มันจะขลังไปทุกรุ่นมันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้
สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เห็นไหม แล้วเราจะเพลินกับสิ่งนั้น ตัวมันเองก็ไม่มีคุณค่าในตัวมันเองอยู่แล้ว แล้วมันเป็นสิ่งที่พึ่งไม่ได้ ทำไมเราไม่ย้อนกลับมาดูภายใน? มันย้อนกลับไม่ได้เพราะทวนกระแส
สิ่งที่ทวนกระแส กิเลสมันขับไส กิเลสของเรามันขับไสเราให้เราพุ่งออกไปข้างนอก จะพุ่งออกไปข้างนอกตลอดไป พอพุ่งออกไป มันก็ไม่เป็นสิ่งที่จะไปเห็นหน้ากิเลสได้ ถ้ามันย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับเข้ามา
สิ่งที่ว่าเห็นกายๆ กัน เราเห็นด้วยตาเนื้อ สิ่งที่เห็นด้วยตาเนื้อ เห็นไหม ดูอย่างหมอผ่าตัดทุกวัน ผ่าซี่โครงผ่าทุกอย่าง พิสูจน์ศพนี่ผ่าหมดเลย แล้วไม่เห็นมีสิ่งใดขึ้นมาเลย ยิ่งผ่าเท่าไหร่ก็ไม่รู้ขนาดไหนเพราะมันเป็นวิชาชีพ
แต่ถ้าหลับตาลง เห็นไหม ทำความสงบของใจเข้ามา จิตมันสงบเข้ามา ถ้าเห็นกายนะ เห็นสภาวะของอวัยวะต่างๆ เห็นสิ่งต่างๆ มันจะขนพองสยองเกล้านะ มันสะเทือนหัวใจมากนะ สะเทือนหัวใจมาก
อย่างตับไตไส้พุงของเรา เราก็จินตนาการได้เองว่าเป็นของเราเป็นอย่างนั้น เวลาเรานึกไปก่อน เห็นไหม นึกให้มันเกิดขึ้นมา นึกให้มันสลดสังเวช ของเราก็มีเหมือนสัตว์ สัตว์ก็มีเราก็มี มีสิ่งนี้เหมือนกัน มีสิ่งที่จะดำรงชีวิตเหมือนกัน อันนี้ก็ว่าจริงตามสมมุติ แล้วตัวเองมีปัญญาด้วยนะ ปัญญาที่ว่าเราดำรงชีวิตได้ เรารักษาตัวเองรอดได้
สิ่งที่รักษาตัวเองรอดได้ ไม่มีใครรอดได้เลย ตายหมด เกิดมานี้ตายหมด ต้องตายแน่นอน แต่จิตที่มันตายไปแล้ว มันก็แปรสภาพเฉยๆ มันเปลี่ยนสภาวะที่ว่าตายจากสิ่งนี้ไปก็ไปเกิดสถานะใหม่ๆ สถานะใหม่ตลอดไป มันพิสูจน์ได้จากมีเมื่อวานนี้ มีวันนี้ แล้วก็ต้องมีพรุ่งนี้ เราเกิดมาชาตินี้ เราก็ต้องไปชาติหน้าต่อไป ภพชาติมีอยู่
ถ้าภพชาติไม่มีอยู่ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เห็นไหม ในธัมมจักฯ เทวดา อินทร์ พรหมสรรเสริญขึ้นไป ในธัมมจักฯ ในพระไตรปิฎกเขียนไว้มีหลักฐานไว้แน่นอนเลย ว่าพวกเทวดา พวกอินทร์ พวกพรหมนี่มีอยู่ แล้วเราก็เป็นได้ เห็นไหม เราเป็นได้
แม้แต่ในพวกพราหมณ์เขาไปถามพระพุทธเจ้าว่า เทวดา อินทร์ พรหมมีจริงไหม?
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เธออย่าถามอย่างนั้นเลย อย่าว่าแต่มีหรือไม่มีเลย เหตุที่จะทำให้เกิดสิ่งนั้นก็รู้ด้วย
เหตุทำให้เกิด เห็นไหม ผู้ที่สละทานทำสาธารณะประโยชน์นี่เกิดเป็นพระอินทร์ พระอินทร์เกิดมีธรรมศาลาอยู่บนนั้น เพราะได้สร้างสิ่งนี้ไว้ สร้างถนนหนทาง สร้างสาธารณะประโยชน์ เราสร้างให้คุณประโยชน์กับเขา เราให้ความสุขกับเขา ความสุขของเขามันทำไมเราจะไม่เป็นบุญกุศล? จะรู้ไม่รู้มันเป็นบุญของเราทั้งหมด จะมีศาสนาไม่มีศาสนา คนดีก็คนดี
แต่ถ้าไม่มีศาสนา คนดีคือคนดี คนดีของคน มนุษย์ดี คนทำคุณงามความดีก็ดีของเรา ถ้าดีของเรา เราก็ประกอบคุณงามความดีก็ดีเท่านั้น แล้วเกิดตายไปเพราะความดีนั้นพาเกิดพาตาย ไม่สามารถย้อนกลับเข้ามา
ถ้าศาสนาสอนเรื่องอริยสัจ เห็นไหม อริยสัจมีอะไร? มีมรรค มรรคคืออะไร? มรรคคือความเห็น มรรคอย่างหยาบๆ เด็กเรียนหนังสือก็เป็นมรรคแล้ว ทำคุณงามความดี ประกอบสัมมาอาชีวะก็เป็นมรรค มรรคแบบโลกเขาก็เป็นโลกเขา เพราะปัญญาเราคิดได้เท่านี้ ปัญญาของคนคิดได้เท่านี้ ประกอบสัมมาอาชีวะชอบก็เลี้ยงชีวิตชอบ ทำหน้าที่การงานถูกต้อง อันนี้ก็เป็นสัมมาอาชีวะ เราเลี้ยงชีวิตชอบ เลี้ยงตัวอย่างนั้นไปมันก็เลี้ยงขนาดนั้น
แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันไม่เป็นอย่างนั้นเลย เลี้ยงชีวิตชอบ ใจนี่เลี้ยงมันชอบไหม? ถ้าใจเลี้ยงมันชอบ มันจะทรงตัวอยู่ได้ ถ้าใจเลี้ยงมันไม่ชอบ มันจะดิ้นรนในหัวใจของเรา แล้วจะให้ความทุกข์ในหัวใจของเรา สะบัดในหัวใจของเรา ดิ้นรนมาก ดิ้นรนก็เป็นความทุกข์ของเรา เพราะว่าอะไร?
เพราะเราเลี้ยงมันไม่ได้ เราเลี้ยงไม่ได้เพราะอะไร? เพราะเราไม่กำหนดพุทโธเข้าไป ถ้าเรากำหนดพุทโธเข้าไปเราจะเลี้ยงมันได้ เลี้ยงใจของเราเองด้วยธรรม ธรรมคือคำบริกรรมไง พุทโธ พุทโธหรือว่าปัญญาอบรมสมาธิ ใช้ปัญญาใคร่ครวญขึ้นมา เพื่อจะให้ใจเลี้ยงชีวิตชอบ ถ้าเลี้ยงชีวิตชอบขึ้นมา เริ่มชอบขึ้นมา ความชอบมันก็เป็นสัมมาสมาธิ สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิไง
ว่าทำไมต้องมีสัมมาล่ะ? มิจฉาก็มีสมาธิเกิดขึ้นมา เห็นไหม โจรมันจะปล้นขึ้นไป มันวางแผนกันมันนั่งคิดกัน เป็นสมาธิไหม? มันก็เป็นสมาธิของมัน แต่มันเป็นมิจฉา เป็นสมาธิมีความตั้งใจจริง วางแผนแบบลึกลับซับซ้อนมาก วางแผนได้หลายชั้นมาก
นั่นน่ะเอาสิ่งที่เป็นมิจฉาสมาธิทำลายสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ทำโทษให้กับตัวเอง เป็นมิจฉาสมาธิ มิจฉาสมาธิเกิดขึ้นมาแล้วไม่เป็นประโยชน์กับเรา ถึงต้องเป็นสัมมา ถ้าเป็นสัมมา จะเกิดสัมมาได้ต้องมีศีล ๕ เห็นไหม อย่างน้อยต้องมีศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ขึ้นไป มันจะเป็นสัมมา ถ้าเป็นสัมมาขึ้นมา นี่เลี้ยงชีวิตชอบ
ความละเอียดอย่างนี้มันจะเกิดขึ้นมาจากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แล้วจะเห็นว่า อ๋อ... ใจนี้มหัศจรรย์มาก แล้วมันจะย้อนกลับเข้ามา มันจะมีความสุขขึ้นมาพร้อมกับความมหัศจรรย์ของใจ เลี้ยงชีวิตชอบเข้าไป กำหนดเข้าไปแล้วพิจารณาเข้าไปจนแยกแยะสิ่งต่างๆ แก้ไขปลดเปลื้องความผูกพันของใจ
ใจนี่มันติดตัวมันเอง แล้วมันถึงติดข้างนอก มันติดตัวมันเอง มันเหนียว มันเป็นยางเหนียวไปแตะไปทั้งหมด เหมือนกาวติดทุกๆ อย่างไป อารมณ์ผ่านมานี่ใจติดมับๆ มันจะติดสิ่งนั้นไป ติดแล้วก็คิดใคร่ครวญไป ปลดไม่ได้ ปลดไม่เป็น สัมมาสมาธิปลดสิ่งนี้เข้ามาให้เป็นอิสระเข้ามา ถ้าปลดเข้ามาเป็นอิสระ ทำไมมันไม่มีความสุขล่ะ?
มันจะเป็นความสุขของมันส่วนหนึ่ง แล้วถ้ายกขึ้นวิปัสสนาเป็น มันจะย้อนกลับขึ้นมาวิปัสสนาแก้ไขความติดของมัน ไอ้เชื้อของกาวอยู่ที่ไหน? กาวเกิดเป็นติด ติดเขาได้อย่างไร? ถ้ามันติดเขา มันติดเขาเพราะเหตุไร?
เพราะมันเป็นอวิชชา มันไม่รู้ตัวมันเอง
นี่ใคร่ครวญสิ่งนี้ แยกแยะสิ่งนี้ วิปัสสนาสิ่งนี้ขึ้นไป สิ่งนี้เป็นมรรคขึ้นมา เลี้ยงชีวิตชอบขึ้นมาโดยประเสริฐขึ้นมา ทำงานนี้ขึ้นมา เกิดขึ้นมาในหัวใจ มันจะเป็นประโยชน์กับใจนั้น ไม่ใช่การส่งออกมาให้ทำเรื่องเครื่องรางของขลังส่งออกไป เป็นที่ว่ารู้วาระจิตรู้ต่างๆ นี้มันเป็นอภิญญา สิ่งที่เป็นอภิญญา มันไม่สามารถชำระกิเลสได้ แต่มันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วไม่คงที่ มีเจริญแล้วเสื่อมตลอดไป
แต่สัมมาสมาธิเลี้ยงชีวิตชอบ ทำถึงที่สุดแล้วเป็นอกุปปธรรม ชำระกิเลสแล้วกิเลสขาดออกไปจากใจ ใจดวงนั้นจะเป็นอิสระ จะเป็นความทรงตัวของใจดวงนั้น แล้วจะตายเฉพาะชาตินี้เท่านั้น จะไม่ตายอีกเลย จะไม่เกิดอีกเลย ทรงสภาวะมีความสุขตลอดไป สุขอันอย่างยิ่ง สุขตลอดไปในหัวใจดวงนั้น
แสวงหาได้ในการประพฤติปฏิบัตินี่ กับความทุกข์ความยากที่เราเกิดตายอยู่นี่ เราจะเลือกสิ่งใด?
เราคิดอย่างนั้นแล้วเราเข้าใจอย่างนั้นแล้วย้อนกลับเข้ามาถึงเรา เราจะเป็นประโยชน์กับตัวเราเอง นี้คือธรรม ธรรมเกิดขึ้นมา ธรรมวินัยเกิดมีอยู่แล้วแต่เราจะศึกษาไหม? เราจะใคร่ครวญไหม? เราจะย้อนกลับมาเป็นประโยชน์กับเราไหม? นี้คือถามตัวเองไง แล้วจะได้ประโยชน์ว่าเราเป็นชาวพุทธแท้ เอวัง